ฟ้าสวยในใจใส

โพสต์ status ใน facebook ไปว่า
เมื่อวานอยู่บ้านทั้งวัน เย็บกางเกงแบบเปิ้ลขาหวังจะให้มันเท่ๆเเหมือนตัวที่เอากลับมาจากฝรั่งเศษ (แล้วไอ้ตัวนั้นมันหายไปไหน จะเอามาเป็นต้นแบบ) ก็เลยได้ดูหนังไปหลายเรื่อง แต่หมวกยังไม่เสร็จ ต้องเอามาทำวันนี้ต่อ เมื่อวานรีบออกไปเดินออกกำลังกาย+ใจ เดินๆมองฟ้าไป อยากได้สีน้ำเงินแก่ก่ำแบบนั้นเก็บไว้จัง ทำไมขี้เกียจพกกล้องหนอเรา? คราวหน้าจะเอาฟากฟ้าล้านนาสีน้ำเงินมาฝากค่ะ :)
(คือ post สองวันติดกัน ถ้าของวันแรกมันก็จะเป็น วันนี้อยุ่บ้านทั้งวันค่ะ และก้อยู่บ้านเหมือนกัน ทำงานเหมือนกัน แต่วันนี้ยังม่ได้ดูหนังเลยจนป่านนี้ เล่นเนต up FB up blog)

มีคนตอบมาว่า ฟ้าสวยในใจเราทุกวัน
เออ จริงเนาะ
เมื่อก่อนสมัยที่เราเขียนหนังสืออย่างเดียว ไม่ได้เล่นกล้อง มักจะคิดว่า ภาพที่ตาเห็นสวยและประทับตรึงตรามากกว่าเลนส์กล้อง มากดแชะๆกันทำไม บันนทึกไว้ในใจ น่าจะได้อารมณ์ของความเป็นจจริงในขณะนั้นๆมากกว่า จะได้ซึมซาบกับความรู้สึกของใจเรา ใจเรา ตัวเรา และสิ่งที่เราเห็นอยู่ มากกว่าด้วย มากกว่าที่จะให้กล้องและเลนส์มาแย่งเอาความเป็นหนึ่งเดียยวของความรู้สึกนั้นไป

ยิ่งเป็นคนเขียนหนังสือ แต่งเพลง รจนาบทกวีด้วยแล้ว ส่วนใหญ่น่าจะเห็นพ้องต้องกันว่า ถ้ามัวแต่ถ่ายรูป ก็จะไม่ได้ความทรงจำที่สมบูรณ์ หนอนหนังสืออย่างเราเองยิ่งแล้ว ชอบภาพที่เกิดจากจินตนาการ จากการบรรยายของกวีหรือนักเขียนมากกว่าภาพจริง หรือภาพเขียนประกอบ ร้อยพันเท่า

เหมือนที่เคยคุยกันในบรรดาคอหนังกำลังภายในว่า นางเอกหนังจีน ให้ยังไง ตัวจริงก็สู้ในนิยายไม่ได้ ว่าไหมคะ? (เอ อันนี้เอามายกตัวอย่างได้ไหม?)

เดี๋ยวมาต่อนะ up มันครึ่งๆกลางๆอย่างนี้แหละ ก็รู้นี่ว่ายังไม่ค่อยมีคน fallow

ความคิดเห็น