Post pandemic diary 1 Swing&Sway : หวั่น
ในโลกของการเปลี่ยนแปลง ในยามที่ทุกสิ่งเปลี่ยนไป เมื่อไม่มีใครรู้ว่าชีวิตต่อไปจะเป็นเช่นไร เธอเองก็หวั่นไหวหวาดกลัวบ้างในบางเวลาใช่ไหม
(ภาพจาก pixabay)
ที่ผ่านมา โลกก็เปลี่ยนแปลงไปเร็วจนเราแทบจะตามไม่ทันอยู่แล้ว ทั้งพายุดิจิตอลที่ทำให้เกิดการดิสรัปเปลี่ยนแปลงระบบเดิมไปทุกหย่อมหญ้า โซเซียลมีเดียที่มาเปลี่ยนทั้งสื่อแบบเดิม และวิถีชีวิตที่เราคุ้นเคย วิทยาการที่เร็วจนคาดเดาความเร็วไม่ได้ สภาพแวดล้อมของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปจนเกินมนุษย์จะควบคุมไหว
ขณะที่เรากำลังดิ้นรน กระเสือกกระสน ว่ายน้ำตามกระแสบ้าง จมน้ำแล้วตะกายขึ้นมาใหม่บ้าง บางคนกำลังเริ่มแล่นเรือรับกระแสลมที่พัดมาใหม่อย่างสนุกสนาน บางคนที่ปรับตัวไม่ทันกำลังไม่แน่ใจว่าควรจะปรับต่อไปอย่างไรดี เราก็มาเจอกับโจทย์ใหญ่ที่ไม่ว่าอยากไม่อยากปรับก็ต้องปรับ อยากไม่อยากเข้าสู่โลกออนไลน์ก็ต้องเข้า อยากไม่อยากสื่อสารและบริการผ่านสื่อโซเชียลสมัยใหม่ก็ต้องหัดใช้ เพราะเจ้าไวรัสตัวร้ายบวกกับความหวาดกลัวกักตัวพวกเราไว้ในรั้วบ้านของตนเอง
ฉันจะไม่พูดถึงบทเรียนหลายๆอย่าง หรือการปรับตัวแบบที่จะถูกหรือผิดในช่วงโควิดทีผ่านมา เพราะเราน่าจะมีเวลาอยู่บ้านนั่งคุยถึงมันมาไม่รู้กี่รอบ
และแล้ว...หลังจากการอดทนรอคอยมาอย่างยาวนาน ก็ดูทีท่าว่ายุคแพนดามิคจะสิ้นสุดลง ด้วยการที่โรคร้ายอาจไม่ได้หายไป แต่จะไม่เป็นสิ่งน่ากลัวจนเราต้องกักตัวเองและหยุดความเคลื่อนไหวทางธุรกิจหรือสังคมเพื่อมันต่อไปอีกแล้ว
แต่คำถามที่ตามมา ซึ่งบางคนอาจจะรู้สึกไม่มั่นคงยิ่งกว่าความไม่แน่นอนมั่นคงที่ผ่านๆมาก็คือ ...แล้วโลกยุค post pandemic จะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง และเราควรจะปรับตัวอย่างไร
ฉันก็จะยังไม่พูดถึงคำแนะนำเกี่ยวกับการปรับตัวต่างๆที่นั่งดูนั่งฟังตลอดเวลาเป็นปีๆที่ผ่านมาอีกนั่นแหละ (แต่แน่นอน ถ้าเธออยากรู้ ไว้ฉันจะเอามาค่อยๆเล่าให้ฟัง แต่รู้แล้ว เธอจะรู้สึกอุ่นใจว่าจะปรับตัวกับโลกยุคต่อไปได้ตามคำแนะนำ หรือยิ่งหวั่นไหวเคว้งคว้างเพราะยิ่งฟังก็ยิ่งห่างไกลออกไปจากประสบการณ์และความสามารถของตัวเอง ...นี่ฉันก็ไม่แน่ใจนะ)
ที่จะเล่าตอนนี้ ก็คือความรู้สึกที่ทำให้ฉันต้องมานั่งเขียนไดอารี่อยู่ตอนนี้ (และอาจจะต่อไปอีกหลายตอน) ความรู้สึกไม่แน่ใจไม่มั่นคง และคาดหวังอนาคตไม่ได้เพราะไม่รู้จะคาดหวังยังไง ความรู้สึกของคนที่เริ่มจากการตามข่าวสารความรู้ทุกวัน จนกลายเป็นแทบทุกเวลานาที และยังคงรู้สึกว่ามันยังมีเรื่องใหม่ๆอยู่ในโลกข้างนอกนั่น คนใหม่ๆที่เก่งกว่าเรา และข้อมูลข่าวสารท้นท่วมมหานทีที่เราไม่มีวันอ่านได้หมด หรือเข้าใจได้ทัน
ฉันไม่ได้กำลังมานั่งเขียนบ่นหรือระบาย ไม่ได้กำลังจะบอกว่าฉันหวาดกลัวจนทนไม่ไหวแล้ว เพราะถ้าอยู่มานานพอ คุณเองก็คงเรียนรู้ได้เหมือนกับฉันว่ามันไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ แต่ในขณะเดียวกัน การเขียนความรู้สึก หรือประสบการณ์บางอย่างเผยแพร่ในโลกออนไลน์ ฉันเชื่อว่าจะทำให้ค้นพบคนที่กำลังคิดกำลังรู้สึกคล้ายๆกัน และฉันเชื่อว่า พอได้มาอ่านข้อความของฉัน คุณจะเริ่มรู้สึกโล่งใจ ...ที่คุณก็ไม่ได้คิด ไม่ได้เป็นอยู่คนเดียว
ใช่แล้วล่ะ มีคนที่เข้มแข็งที่สุด ที่ก้าวไปข้างหน้ารวดเร็ว ทันท่วงที และทนทานรับกับความหวาดหวั่นในใจได้จนทำให้เขาไต่กระดานเซิร์ฟบอร์ดไปล่องลอยอย่างร่าเริงอยู่เหนือกระแสคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงระลอกแล้วระลอกเล่า
ฉันยินดีด้วย และชื่นชมพวกเขาจากใจจริง
แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่า คนใจบางๆที่ยังหวาดหวั่นและก้าวตามไม่ทันจะผิดพลั้งอ่อนแออะไรนักหนา เราก็แค่คนธรรมดา และคนเรานั้นแตกต่างกัน
แต่คุณรู้ไหมว่า กว่าฉันจะมานั่งเขียนแบบนี้ บอกแบบนี้ แบบที่รู้สึกจากใจตัวเองได้ ว่ามันก็ไม่เห็นเป็นไรที่จะปรับตัวทันบ้างไม่ทันบ้าง แล้วเดี๋ยวก็ล้มลุกคลุกคลานกันต่อไป ฉันนั่งอึ้งเงียบเขียนอะไรไม่ออกมานานแค่ไหน ในช่วงเวลาที่จ่อมจมอยู่ในมหานทีแห่งข่าวสารและคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงระลอกแล้วระลอกเล่า ในเวลาที่กำลังสำลักความระทมทุกข์และต่อสู้กับอาการซึมเศร้า (ที่ใครๆก็เป็น) จากแสงแดดและชีวิตสังคมที่ขาดหาย บางทีฉันก็ไม่รู้จะบอกตัวเองและคนอื่นว่าอะไร ไม่รู้จะปลอบใจใครว่าอย่างไร และแม้จะขยันโพสต์ถึงแสงสว่างในวันนั้น และดอกไม้ในวันนี้ มันก็เป็นแค่การพักขึ้นมาหายใจบนน้ำได้เป็นช่วงๆ
ฉันมีชีวิตอยู่ในช่วงแพนดามิคที่ผ่านมาโดยที่โรคเก่าไม่ได้กำเริบมากมายเท่าไหร่ โรคใหม่ไม่ได้เป็น (เพราะเราต่างกลัวและป้องกันมันเป็นอย่างดี) อาการซึมเศร้ากลายเป็นแค่มึนชาเพราะชีวิตก็ไม่ได้มีอะไรให้เศร้า และด้วยการกินยาบวกออกกำลังเพื่อเสริมภูมิต้านทาน มันก็ช่วยป้องกันฉันจากภาวะดีเพรสไปด้วย แต่ฉันก็ยังไม่ร่าเริง ยังไม่รู้สึกเหมือนคนมีชีวิตเหมือนที่ผ่านๆมา
สมัยที่ฉันเป็นไบโพลาร์ใหม่ๆและอาการกำเริบ ฉันเคยได้แต่ตะกายขึ้นมาดูละครแล้วก็งงว่าตัวร้ายเอาแรงใจที่ไหนไปคิดร้ายต่อคนอื่น และตัวดีเอาแรงที่ไหนไปแต่งตัว เพราะแม้จะลุกจากเตียงฉันยังทำไม่ได้ค่อยได้ ตอนนี้ฉันไม่เป็นอย่างนั้น แม้ช่วงเวลาแพนดามิคบวกภาวะความผิดหวังจากบ้านเมืองจะทำให้เพื่อนฝูงหลายคนที่ "เคยดีๆ" กลับต้องดีเพรส แต่คนที่อยู่กับโรคมานานอย่างฉันรู้รักษาตัวรอดพอสมควรที่จะไม่ปล่อยให้ตัวเองดิ่งลงไปมาก เพราะรู้ดีว่ามันงัดขึ้นมายาก
กระนั้นก็ดี ความซึมเศร้าอ่อนๆที่เหมือนกลายเป็นอาการร่วมของสังคม บวกกับการไม่ค่อยมีอะไรใหม่นอกจากข่าวเรื่องไวรัสกับวัคซีน ก็ยังทำให้ฉันมีอาการคล้ายดีเพรสอ่อนๆ และด้วยภาวะว่างงานยาวนานบวกกรงขังของกำแพงบ้าน มันก็ทำให้ชีวิตของฉันเริ่มรู้สึกว่ามันซ้ำไปซ้ำมา แม้กระทั่งจะตื่นก็ไม่รู้ว่าจะตื่นมาทำอะไรต่อ จะแต่งตัวสวยก็ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร เรียนออนไลน์ก็ไม่รู้เรื่อง แฟนโทรมาก็ไม่อยากคุย อ่านหนังสือหรือดูละครก็จืดชืดไร้รสชาติ
พอเห็นสัญญาณเหล่านี้แล้ว (ส่วนใหญ่ฉันจดไว้ในสมุดบันทึก) ฉันก็รู้ตัวว่าต้องเปลี่ยนแปลง ไม่อย่างนั้นฉันอาจจะจมดิ่งและซึมลึกลงไปจนเกินขีดของความเป็น "ปกติ"
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น