Post Pandemic Diary 2 Momentum
เหมือนคลื่นน้ำที่แผ่วลงจนเงียบสงบ..
คุณหวังจะได้อ่านอะไร ประสบการณ์ปาฏิหาริย์ที่เปลี่ยนแปลงจิตใจฉันในวันเดียว หรือสูตรสำเร็จจากคำคมและแรงบันดาลใจบางประการที่ช่วยฉุดคนให้พ้นจากหลุมดำแห่งความมึนซึมงงงวยแล้วก้าวสู่โลกแห่งความเปลี่ยนแปลงได้อย่างกล้าหาญมั่นใจเหมือนในละครอย่างนั้นหรือ
ไม่มีหรอก
ถ้าคุณเคยติดตามอ่าน ฟัง และดู ข่าวสารเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆทั้งของโลกโซเชียลและโลกยุคใหม่หลังแพนดามิคเหมือนที่ฉันเคยทำ คุณก็คงจะรู้ว่ามันมีอะไรให้อ่านให้ฟังมากมาย มีแนวคิดทฤษฏีใหม่ๆมาล้มทฤษฏีเก่าๆ อย่างเช่นว่า ที่เคยบอกว่า แค่ resilience ไม่พอ (คือยืดหยุ่นแล้วเปลี่ยนแปลงกลับมาได้เหมือนเดิมหรือดีกว่าเดิม หรือยืนหยัดได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเหมือนคนเล่นแทรมโบลีน)ต้อง Antifragile (ที่คุณเคน นครินทร์แปลไว้ว่า "แข็งแกร่งยืดหยุ่น") ดูเหมือนคุณสมบัติของการมีชีวิตอยู่รอดจะยากเย็นเข้มข้น สูงลิบลิ่วขึ้นเรื่อยๆ จนคนใจบางๆกับคนที่บางเวลาก็ใจไม่แกร่งมากอาจจะอยู่ยาก นี่เป็นเพียงแค่หนึ่งในร้อยหรือสักหนึ่งในล้านเรื่องของความเปลี่ยนแปลงที่เราต้องปรับตามอยู่ทุกวัน
แต่ก็อย่างที่ฉันเล่าไปนั่นแหละ ปรับตามทันไม่ทัน อาจยังไม่สำคัญเท่ากับว่า ปรับแล้วปรับอีกมันก็ไม่มีวันนิ่ง และอนาคตก็ดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งคาดเดาไม่ได้ยิ่งกว่าที่เคยมันคาดเดาไม่ได้มาแล้วในทุกครั้งที่ผ่านมา
ตอนแรกฉันก็นึกว่าเราเป็นอยู่คนเดียว และคนอื่นๆ ถ้าไม่เศร้าเฟลล้มเหลวเพราะปัญหาการงานและสุขภาพไปเลย ก็คงจะเริ่มปรับตัวและแล่นเรือไปได้ในโลกใหม่นี้อย่างสุขสบายใจ เห็นได้จากฟีดต่างๆในหน้าเฟสเอยอะไรเอย
แต่แล้ว...ฉันก็ค่อยๆพบว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น ครั้งที่ฉันค้นพบว่ายังมีแสงแดดส่องในหน้าฝนที่หม่นหมองมาหลายวัน...ฉันพบหลายคอมเมนต์และหลายปฏิกิริยาตอบกลับ ที่ทำให้รู้สึกได้ ว่าคนกำลังต้องการแสงสว่างมากกว่าที่เป็นมา หรือเขาเองก็กำลังขาดแคลนความสามารถในการมองเห็นแสงสว่างและความหวัง หรือสร้างความสงบสุขเล็กๆในใจตัวเอง เหมือนที่ฉันกำลังเป็นอยู่เช่นกัน
ต่อจากนั้น ฉันก็ได้แต่พยายามต่อไป...อย่างเงียบๆ เพราะฉันกลับมาอยู่ในช่วงที่ "เขียนหนังสือไม่ออก แต่งเพลงไม่ได้" อีกครั้ง พยายามจดจำให้ได้ ในวันที่รู้สึกถึงสายลมเย็นโชยชื่น ในวันที่ยินเสียงนกร้อง เห็นดอกไม้บาน หรือไม่รู้สึกถึงความกังวลที่เหมือนเงาแฝงคอยวิ่งไล่ตามมาในใจอย่างเงียบๆ
จากตอนแรกที่พยายามอย่างเหลือเกินที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อไล่ความกังวลและมึนซึมออกไป พยายามตอบคำถามถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นว่ามันคืออะไร พยายามจะแข้มแข็งจนก่นด่าตัวเองเมื่อทำตามแนวการดูแลตัวเองที่ดีได้ไม่ดีพอ พยายามจะอธิบายถึงภาวะที่เป็นอยู่ว่าเรากำลังเป็นอะไร และโลกทั้งโลกกำลังเป็นอะไร และกำลังจะเป็นอะไร ..ฉันก็เลือกพยายาม และเลือกที่จะปล่อยมันไป และพูดกับตัวเองบ่อยๆว่าช่างมันเถอะ
บางทีสิ่งที่เราทำได้ดีที่สุดของนี้ อาจจะเป็นแค่การใช้ชีวิตไปทีละวันก็ได้
ฉันพบว่า เราอ่านและฟังข่าวของความเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าไม่ได้มีเวลาสรุปมัน ฉันจะไม่ฟังซ้ำไปซ้ำมา และที่สำคัญที่สุด จะไม่ฟังตอนกลางคืนหรือก่อนนอน (อันนี้เป็นสูตรสำเร็จให้คุณได้หรือเปล่าไม่รู้นะ เพราะใจแต่ละคนบางไม่เท่ากัน ถ้าใจคุณหนากว่าฉัน การตามข่าวอย่างทันท่วงทีมันก็ได้เปรียบดีในยุคนี้ แต่ถ้าใจคุณบางกว่า เผลอๆคุณอาจต้องอ่านแต่สรุป หรือฟังแต่จากบางคนที่ย่อยมาอธิบายให้ฟังแล้ว ...ก็แล้วแต่จะเลือกเอานะ
ฉันไม่ได้ออกกำลังกายในตอนเช้า เพราะบางทีก็ไม่ตื่น แต่ฉันไปออกกำลังกายในตอนเย็น เดินบ้างวิ่งบ้าง เบื่อบ้างสนุกบ้าง แต่ก็พยายามไปแทบทุกวัน บางทีมีวิวสวยๆให้ดู และฉันมีแรงถ่ายรูปอัพลงเพจ บางช่วงบางที แม้แต่วิวสวยและทะเลสาปก็ดูน่าเบื่อไปหมด ละครก็ไม่สนุกและเพลงก็ฟังไม่เพราะจนฉันไม่มีคอนเทนต์ไปทำเพจตัวเอง
วันเวลาก็ผ่านไปแบบนี้ ฉันเริ่มจากก่นด่าตัวเองเวลาที่ตื่นสาย ออกกำลังกายไม่ครบคอร์ส จนค่อยๆเลิกต่อว่าตัวเองไป ทำได้ก็ทำ ทำไม่ได้ก็ไม่ทำ ซึ่งกลายเป็นว่าสุดท้ายมันค่อยๆทำได้มากกว่า วันที่มีแรง ฉันออกไปข้างนอก ติดต่องาน วันครอบครัวฉันไปพบหลานๆและวิ่งเล่นเติมพลังกับเด็กๆตลอด 2-3 วัน วันที่แข็งแรง ฉันอ่านหนังสือและเขียนบันทึก วันที่อ่อนแอ ฉันไถเฟสไปมา กระทำเรื่องราวไร้สาระ
ฉันทดลองทำงานหลายงาน ทั้งที่รู้ว่ามันไม่ยั่งยืนและไม่ใช่ตัวเอง เพียงเพื่อให้ได้เรียนรู้ และให้ได้สบายใจว่าฉันไม่ได้หันหลังหนีให้กับความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย
ฉันรู้ว่าสิ่งที่เล่ามานี้ไม่เหมือนกับชีวิตของคุณแต่ละคน แต่ถ้าคุณเป็นคนใจบางที่ประสบกับความหวั่นไหวไม่มั่นใจ ซึมเซาเร้นลึกบางประการในช่วงปลายแพนดามิคแบบนี้ ฉันหวังจริงๆว่า คุณจะพอนึกเทียบเคียงกับเรื่องราวของตัวเองได้
ดอกไม้ของฉัน อาจหมายถึงคนรักของคุณ สายลมของฉัน อาจหมายถึงรอยยิ้มของเด็กข้างบ้าน ฉันอาจวิ่งในขณะที่คุณว่ายน้ำ ฉันอาจเดินในขณะที่คุณโหนรถไฟฟ้า ฉันอาจฝึกกังฟู ในขณะที่คุณเข้าคอร์สพิลาทิส
ในช่วงชีวิตที่สงบบ้างไม่สงบบ้าง อย่างช้าๆ ..ฉันหวังว่าคุณจะค่อยๆพบเหมือนฉันว่าคลื่นลมในชีวิตมันสงบลงไปเอง เหมือนเราโยนก้อนหินลงไปแล้วน้ำที่กระเพื่อมเป็นวงมันค่อยๆกว้างขึ้นจนหายไป
เหมือนว่าเราทำให้มันหายไป แต่ที่จริงแล้วเราไม่ได้ทำ
เหมือนว่าเราไม่ได้พยายาม แต่ที่จริงแล้วเราพยายามมาวันแล้ววันเล่า
เหมือนแต่ละเรื่องราวมันไม่ปะติดปะต่อ แต่ที่จริงมันเป็นเรื่องเดียวกัน
ฉันนึกถึงสมัยที่ยังขยันไปปฏิบัติธรรม แล้วหลวงพ่อก็สอนว่า สติแบบชั่วครู่ชั่วยาม พอสะสมเข้า มันก็มีกำลังมากได้เหมือนกัน
ก็ไม่รู้จะเกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตมาทีละวันๆของฉันไหม
อย่าลืมสิว่า ช่วงนี้ฉันเลิกพยายามที่จะให้คำอธิบายมากจนเกินไปแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น